วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

หน่วยที่ 1 หลักการทำงานของการสื่อสารข้อมูล



จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายความหมายของการสื่อสารข้อมูลและยกตัวอย่างของการติดต่อสื่อสารได้
2. อธิบายได้ว่าส่วนประกอบของระบบสื่อสารข้อมูลประกอบไปด้วยส่วนใดบ้าง
3. รู้จักและเข้าใจรูปแบบการทำงานของตัวกลางการสื่อสารประเภทต่างๆและสามารถเลือกประเภทของตัวกลางมาใช้งานได้
4. สามารถแบ่งประเภทของการส่งข้อมูลและยกตัวอย่างการส่งข้อมูลแต่ละประเภทได้อย่างถูกต้อง

การสื่อสารข้อมูลเบื้องต้น
การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) การสื่อสารเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสองฝ่าย
เมื่อโลกพัฒนาก้าวหน้าขึ้นมีการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารด้าน อื่นอีกมากมาย มีการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ขื้นมาก็มีการคิดค้นวิธีการส่งข้อมูลระหว่าง คอมพิวเตอร์เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายวิธีการส่งข้อมูลของคอมพิวเตอร์ นี้เรียกว่า การสื่อสารข้อมูล หมายถึงการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล
ส่วนประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล
แหล่งต้นกำเนิด หรือฝ่ายส่ง ทำหน้าที่ในการส่งข้อมูลข่าวสารไปยัง แหล่งปลายทางหรือฝ่ายรับที่เราต้องการส่งข้อมูลข่าวสารนั้นไป แหล่งต้นกำเนิดและแหล่งปลายทางนี้อาจจะเป็นมนุษย์หรือเครื่องมือต่างๆก็ได้ โดยการส่งข้อมูลนั้นผ่านช่องทางการสื่อสารหรือตัวกลางตัวกลางจะขึ้นกับฝ่ายรับและฝ่ายส่งว่าเป็นมนุษย์หรือเครื่องมือชนิดใด
อุปกรณ์สื่อสารข้อมูล
ตัวกลางการสื่อสาร คือเครื่องรับและเครื่องส่ง อาจจะเป็นระบบไร้สายที่เป็นคลื่นต่างๆ
สายคู่บิดเกลียวชนิดมีการกั้นสัญญาณรบกวน (Shielded Twisted Pair : STP) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เอสทีพี เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยตัวกันสัญญาณเพื่อป้องกันการรบกวน
สายโคแอกเชียล (coaxial)เป็นสายสัญญาณที่มีสายทองแดงเดี่ยวเป็นแกนกลางและมีสายทองแดงถักล้อมรอบเป็นตัวกั้นสัญญาณรบกวนอยู่ด้านนอก
เส้นใยนำแสง (fiber optic) เป็นสายที่ใช้แสงความถี่สูงวิ่งไปตามเส้นใยแก้วสายสัญญาณชนิดนี้สามารถนำข้อมูลได้มากสามารถส่งได้ถึงกว่าพันล้านบิตต่อวินาที
โมโครเวฟ (Microwave) เป็นการส่งสัญญาณข้อมูลไปในอากาศในลักษณะของการบังคับทิศทางจากเสาอากาศของผู้ส่งไปยังเสาอากาศของผู้รับโดยจานรับสัญญาณบนเสาอากาศของผู้ส่งและผู้รับจะต้องหันทิศทางให้ตรงกัน ต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง
ดาวเทียม (Satellite)ลักษณะการทำงานจะคล้ายกับไมโครเวฟ แตกต่างกันที่ตรงที่ ดาวเทียมจะมีสถานีรับ-ส่ง ลอยอยู่ในอากาศดาวเทียมทำหน้าที่ขยายและทบทวนสัญญาณให้แรงเพิ่มขึ้น
การส่งข้อมูล
แบบซิมเพล็กซ์(Simplex) เป็นการติดต่อทางเดียว เมื่ออุปกรณ์หนึ่งส่งข้อมูล อุปกรณ์อีกชุดจะต้องเป็นฝ่ายรับข้อมูลเสมอ
แบบฮาฟดูเพล็กซ์ (Half Duplex)เป็นการติดต่อกึ่งสองทางเป็นการเปลี่ยนเส้นทางในการส่งข้อมูลได้ แต่คนละเวลาคือข้อมูลจะไหลไปในทิศทางเดียวณ เวลาใด ๆ
แบบฟลูดูเพล็กซ์ (Full Duplex) เป็นการติดต่อสองทาง คือเป็นผู้รับข้อมูลและผู้ส่งข้อมูล ในเวลาเดียวกันได้

หน่วยที่ 2 หลักการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์



จุดประสงค์การเรียนรู้
1• อธิบายความของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้อย่างถูกต้อง
2• นักเรียนสามารถอธิบายและตอบคำถามได้ว่าวัตถุประสงค์และประโยชน์ของเครือข่ายคืออะไร
3. นักเรียนสามารถตอบคำถามและแบ่งประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้อย่างถูกต้อง

ความหมายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เข้าด้วยกันเพื่อที่จะใช้ข้อมูลและอุปกรณ์ต่าง ๆร่วมกันได้ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังประหยัดในเรื่องของอุปกรณ์เชื่อมต่ออื่น ๆอีกด้วย
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึงการนำเอาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลายตัวมาเชื่อมโยงถึงกันโดยตัวกลางระบบสื่อสารเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล
นำเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายเครือข่ายต่อเข้าด้วยกันเพื่อการสื่อสารข้อมูลและการใช้งานร่วมกันโดยผ่านอุปกรณ์ หลายชนิด

วัตถุประสงค์และ ประโยชน์ของ เครือข่ายคอมพิวเตอร์
การนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมโยงกันที่เรียกกันว่าเครือข่ายคอมพิวเตอร์เกิดประโยชน์ดังนี้
การใช้ข้อมูลร่วมกันในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะมีการจัดการด้านข้อมูลสารสนเทศโดยจะเก็บข้อมูลไว้เป็นฐานข้อมูลเพื่อให้สามารถจัดการกับข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การใช้ทรัพยากรร่วมกันการใช้ทรัพยากรร่วมกันเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะในเครือข่ายแลนมีการใช้เครื่องพิมพ์และแฟ้มงานร่วมกันการพิมพ์ร่วมกันทำให้ผู้ใช้หลายคนสามารถส่งผลลัพธ์ไปพิมพ์ที่เครื่องพิมพ์เดียวกัน
การติดต่อสื่อสารระหว่างกัน (Communtcation)เครือข่ายการสื่อสารข้อมูล เป็นเครือข่ายในการติดต่อเพื่อการรับ-ส่งข้อมูลโดยการรับส่งนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นมนุษย์เสมอไปการสื่อสารอาจเป็นระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับระบบงานหรือระบบงานกับระบบงานด้วยกันเองก็ได้สำหรับข้อมูลข่าวสารที่จะแลกเปลี่ยนกันก็อาจแตกต่างกัน
การใช้แหล่งเรียนรู้ร่วมกันในระบบเครือข่ายสามารถสร้างแหล่งเรียนรู้ต่างๆในรูปแบบต่างๆ แล้วนำมาเก็บไว้ในระบบเครือข่ายเมื่อต้องการอ่านหรือเรียนรู้ในเรื่องใดก็สามารถเข้ามาศึกษาได้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
สามารถแบ่งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามลักษณะต่างๆ ขึ้นกับว่าเราจะใช้พื้นที่ในการเชื่อมโยงและการให้บริการ ตามลักษณะการเชื่อมต่อ แบ่งตามขนาดและขอบเขตของพื้นที่ที่เชื่อมโยงสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ
เครือข่ายแลน (LAN Local Area Network) เป็นเครือข่ายระยะใกล้ที่ใช้ในการเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ ในบริเวณที่อยู่ใกล้ๆ กัน
เครือข่ายแมน (MAN Metro Area) Network)เป็นเครือข่ายขนาดกลางใช้ภายในเมือง หรือจังหวัดที่ใกล้เคียงกัน
เครือข่ายแวน (WAN Wide Area Network ) เป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ ใช้ติดตั้งบริเวณกว้าง มีสถานีหรือจุดเชื่อมต่อมากมาย มากกว่า 1 แสนจุดใช้สื่อกลางหลายชนิด
รูปร่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้นั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 ลักษณะ ได้แก่
แบบดาว (Star Network)เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่จุดต่อ (Node)ทุกจุดจะเชื่อมเส้นทางรับส่งข้อมูลเป็นรูปดาวโดยมีสายต่อมาจาก คอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง (Server) ที่เรียกว่า Hub ไปยังจุดต่อ (Node)ทุกตัวโดยตรง
แบบวงแหวน (Ring Network)เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่จุดต่อ (Node) ทุกจุดจะเชื่อมเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน โดยข้อมูล จะถูกส่งไปในทิศทาง เดียวกันโดยหมุน ไปรอบๆ
แบบบัส (Bus Network)เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่จุดต่อ (Node) ทุกจุด ใช้เส้นทางเดียวกันในการรับส่งข้อมูลโดยทุกจุดต่อจะเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์แม่ข่าย(Host)ซึ่งการรับส่งข้อมูลนี้สามารถรับส่งข้อมูลได้ 2 ทิศ
แบบผสม(Hybrid Network) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ผสมผสานระหว่างรูปแบบต่างๆ หลายๆ แบบเข้าด้วยกัน คือจะมีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ย่อย หลายๆ เครือข่ายเพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงานเครือข่ายบริเวณกว้าง

หน่วยที่ 3 รู้จักเครือข่ายอินเทอร์เน็ต



จุดประสงค์การเรียนรู้
1• สามารถอธิบายความหมายและบอกประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตได้ 2• นักเรียนสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตได้อย่างถูกต้อง 3• นักเรียนสามารถลำดับวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยได้อย่างถูกต้อง 4. สามารถอธิบายรูปแบบการทำงานของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง
วิวัฒนาการของ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ความหมายของอินเทอร์เน็ต( Internet ) " อินเตอร์เน็ต " มาจากคำว่า International Network เป็นเครือข่ายของการสื่อสารข้อมูลขนาดใหญ่อันประกอบด้วยเครือข่าย คอมพิวเตอร์จำนวนมาก เชื่อมโยงแหล่งข้อมูลจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเข้าด้วยกันคำว่า " เครือข่าย " หมายถึงการที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล
ประโยชน์และความสำคัญของอินเทอร์เน็ต
ด้านการศึกษา
สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลด้านการบันเทิง ด้านการแพทย์ และอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ด้านธุรกิจและการพาณิชย์
ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ สามารถซื้อขายสินค้า ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ผู้ใช้ที่เป็นบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการและสนับสนุนลูกค้าของตนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้

ด้านการบันเทิง
การพักผ่อนหย่อนใจ สันทนาการ เช่น การค้นหาวารสารต่างๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า Magazine Online รวมทั้งหนังสือพิมพ์และข่าวสารอื่นๆ

ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งเริ่มก่อตั้งโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา อินเทอร์เน็ตในยุคแรกๆ ประมาณปี พ.ศ. 2512 เป็นเพียงการนำคอมพิวเตอร์จำนวนไม่กี่เครื่องมาเชื่อมต่อกัน โดยสายส่งสัญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ภารกิจหลักเพื่อใช้ในงานวิจัยทางทหาร โดยใช้ชื่อว่า "อาร์ปา"
กำเนิดอาร์พาเน็ต วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2512 ได้มีการทดลองเชื่อมโยง IMP ปี 2515 หลังจากที่เครือข่ายทดลองอาร์พา ประสบความสำเร็จ ก็ได้มีการปรับปรุงหน่วยงานจาก อาร์ปา มาเป็น ดาร์พาปี 2526 อาร์ปาเน็ตได้แบ่งเป็น 2 เครือข่าย ด้านงานวิจัยใช้ชื่อว่า อาร์ปาเน็ต เหมือนเดิม ส่วนเครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อ มิลเน็ต (MILNET: Military Network) และในปี 2533 อาร์ปาเนตไม่สามารถที่จะรองรับภาระที่เป็นเครือข่ายหลัก (Backbone) ของระบบได้ อาร์ปาเน็ตจึงได้ยุติลงและเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายอื่นๆ แทน มาจนเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ โดยเรียกเครือข่ายว่า อินเทอร์เน็ต (Internet)
วิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยการเชื่อมต่อมินิคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียอาจารย์กาญจนา กาญจนสุต นำมาใช้สอนนักศึกษานับได้ว่า อาจารย์กาญจนากาญจนสุตเป็นบุคคลแรกที่เริ่มใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์รายแรกของประเทศไทย
พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (Nectect) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมมือกันเช่าสายโทรศัพท์เพื่อต่อพ่วงคอมพิวเตอร์
พ.ศ.2537เครือข่ายไทยสารเติบโตขึ้นเรื่อยๆและมีหน่วยงานต่างๆของราชการเข้ามาเชื่อมต่อในเครือข่ายมากขึ้นเรื่อยๆ และต่อมาทางหน่วยงานเอกชนมีความต้องการใช้บริการมากขึ้นการสื่อสารแห่งประเทศไทยจึงได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชนเปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่บริษัทต่างๆหรือบุคคลทั่วไปที่สนใจ
พ.ศ. 2538 รัฐบาลไทย เปิดบริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ โดยมีบริษัทอินเทอร์เน็ตแห่งประเทศไทย จำกัด อันเป็นบริษัทถือหุ้นระหว่างการสื่อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยใช้สายเช่าครึ่งวงจรขนาด 512 Kbps ไปยัง UUNet
ภาษาสื่อสาร
TCP/IP คือภาษากลางบนอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนับสิบล้านคนทั่วโลก ซึ่งแต่ละคนใช้คอมพิวเตอร์ต่างรุ่นต่างแบบกัน เมื่อเราต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านี้เข้าด้วยกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีภาษากลางเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละ เครื่องสามารถเข้าใจกันได้ ซึ่งภาษากลางนี้มีชื่อเรียกทางเทคนิคว่า โปรโตคอล (Protocal)

TCP/IP Protocol : เป็นโปรโตคอล (หลัก) หรือมาตรฐานในการรับส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
นอกจาก TCP/IP ที่เป็น Protocol หลักแล้ว ยังมี Protocol อื่นๆ อีก
FTP Protocol : เป็นมาตรฐานการรับส่งแฟ้มข้อมูล (Software, Data file)
HTTP Protocol : เป็นมาตรฐานการส่งข้อมูลที่อยู่ในรูปของ Web หรือ WWW (World Wide Web) TCP/IP :
หมายถึง มาตรฐานการรับส่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอล TCP/IP : Transmission Control Protocol / Internet Protocol

หน่วยงานทางอินเทอร์เน็ต
หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย
ISP คงเป็นหน่วยงานแรกที่หลายๆ คนคงคิดถึงเมื่อนึกถึงหัวข้อนี้ รองลงไปก็คงเป็นเนคเทค ซึ่งก็ถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีีบทบาทสำคัญต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของประเทศไทยแต่ก็ยังมีหน่วยงานอื่นอีกหลายหน่วย ดังนี้
การสื่อสารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้ผูกขาดบริการวงจรสื่อสารระหว่างประเทศ ผู้ให้ใบอนุญาตและ ถอดถอนสิทธิการให้บริการของ ISP รวมทั้งเป็นหุ้นส่วนของ ISP ทุกราย (32%) รวมทั้งเป็นผู้ให้บริการ จุดแลกเปลี่ยนสัญญาณภายในประเทศ
ISP - Internet Service Providers หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ทั้ง 17 ราย (พ.ย. 2545) ในฐานะผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่บุคคลและองค์กรต่างๆ
ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไม่หวังกำไร เช่น SchoolNet ที่ให้บริการโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ, ThaiSarn ผู้ให้บริการเชิงวิจัยสำหรับสถานศึกษา, UniNet เครือข่ายของทบวงมหาวิทยาลัย, EdNet เครือข่ายของกระทวงศึกษาธิการ และ GINet เครือข่ายรัฐบาล
THNIC ในฐานะผู้ให้บริการจดทะเบียนชื่อโดเมนสัญชาติไทย (.th) และผู้ดูและบบบริการสอบถามชื่อโดเมนสัญชาติไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลของ AIT
NECTEC
หรือศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานวิจัยค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล และในฐานะผู้ให้บริการจุดแลกเปลี่ยนสัญญาณภายในประเทศ ผู้ดูแลเครือข่าย Thaisarn, SchoolNet, GINet และในฐานะคณะอนุกรรมการด้าน นโยบายอินเทอร์เน็ตสำหรับประเทศไทย
ผู้ให้บริการวงจรสื่อสารภายในประเทศ ซึ่งมีหลายรายเช่น การสื่อสารแห่งประเทศไทย, บริษัท ทศท.คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทเอกชนอื่นๆ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

หน่วยที่ 4 เตรียมตัวก่อนท่องอินเทอร์เน็ต



จุดประสงค์การเรียนรู้
1• สามารถรวบรวมคำศัพท์และอธิบายความหมายของคำศัพท์เฉพาะที่พบในการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ 2• สามารถอธิบายความหมายของหมายเลข ชื่อ และที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตได้อย่างถูกต้อง 3• รู้จักและเข้าใจหน้าที่ของอุปกรณ์แต่ละชนิดได้อย่างถูก ต้อง 4. สามารถอธิบายวิธีการและทำการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยตนเองได้
ความหมายของ World Wide Web และคำศัพท์ที่พบบ่อยในอินเทอร์เน็ต
World Wide Web (WWW) เป็นบริการข้อมูลแบบมัลติมีเดีย(MultiMedia)บนอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันจุดเด่นของ WWW ได้แก่ความง่ายดายต่อการใช้งานและมีรูปแบบการแสดงผลแบบHypertext ที่เชื่อมโยงจากข้อมูลชุดหนึ่งไปยังข้อมูลอีกชุดหนึ่งได้ ซึ่งอาจอยู่ในศูนย์บริการข้อมูลเดียวกันหรือต่างศูนย์กัน บริการWWWจึงเป็นเสมือนเครือข่ายที่โยงใยข้อมูลทั่วโลกเข้าหากัน
Webpage (เว็บเพ็จ) เอกสารที่เราเปิดดูใน WWW มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า เว็บเพ็จ ะถูกสร้างขึ้นจากภาษาคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าHTML
Link (ลิงค์)เว็บเพ็จแต่ละหน้าใน WWW มีการเชื่อมต่อถึงกันทำให้เราสามารถเรียกดูเว็บเพ็จหนึ่งจากเว็บเพ็จอื่นได้ โดยในเว็บเพ็จจะมีจุดเชื่อมโยงที่เรียกว่า ลิงค์ ลิงค์อาจอยู่ในรูปแบบของข้อความ รูปภาพ หรือปุ่ม เมื่อเราเลื่อนเม้าส์ไปเหนือลิงค์ มันจะเปลี่ยนเป็นรูปมือสีขาว
Web Browser (เว็บบราวเซอร์) คือโปรแกรมที่เป็นประตูเข้าสู่โลก WWW ปัจจุบันมีบราวเซอร์หลายค่ายที่เราสามารถใช้เปิดดูเว็บเพ็จได้
Web site (เว็บไซต์)เป็นที่เก็บเว็บเพ็จ เมื่อใดที่เราต้องการเปิดดูเว็บเพ็จ เราต้องให้บราวเซอร์ดึงข้อมูล โดยบราวเซอร์จะทำการติดต่อกับเว็บไซต์นั้นเพื่อให้มีการโอนย้ายข้อมูลมาแสดงที่เครื่องของเรา Homepage (โฮมเพ็จ) ในแต่ละเว็บไซต์จะประกอบด้วยเว็บเพ็จจำนวนหลายหน้า โดยจะมีการกำหนดเว็บเพ็จหน้าหนึ่งให้เป็นหน้าแรก เว็บเพ็จหน้านี้มีชื่อเรียกว่า “โฮมเพจ” ซึ่งทำหน้าที่เหมือนกับเป็นปกหนังสือกล่าวคือโฮมเพ็จเป็นทางเข้าของเว็บเพ็จทั้งหมดในเว็บไซต์นั้น เมื่อเราเปิดดูโฮมเพ็จเราจะพบกับคำแนะนำการใช้งานและสรุปสิ่งที่น่าสนใจในเว็บไซต์ไปจนถึงหัวข้อที่เชื่อมต่อไปยังเว็บเพ็จอื่น URL เว็บไซต์แต่ละแห่งในอินเทอร์เน็ตจะมีตำแหน่งเจาะจงที่เราต้องระบุจึงจะเปิดดูข้อมูลได้เราเรียกตำแหน่งนี้ว่าURL (Uniform Resource Locator) ของเว็บไซต์ เช่น ถ้าเราต้องการเปิดดูข้อมูลที่เกี่ยวกับ โรงเรียนจ่าการบุญเราต้องทราบ URL ของเว็บไซต์ ซึ่งก็คือ www.jb .ac.th http: ย่อมาจาก HyperText Transfet ProtocaoHTTPใช้สำหรับเยี่ยมชมโฮมเพจ เป็นการติดต่อกับโฮสต์ด้วยโปรโตคอล
หมายเลข ชื่อและที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
หมายเลขอินเทอร์เน็ต หรือ หมายเลขไอพี (IP Address) เป็นเลขรหัสประจำตัวของเครื่องคอมพิวเตอร์ ์ที่ต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นหมายเลขรหัสของเครื่องคอมพิวเตอรแต่ละเครื่องที่ไม่ซ้ำกันเลย โดยหมายเลขอินเทอร์เน็ตจะประกอบด้วยเลข 4 จำนวน ที่เป็นจำนวนตั้งแต่ 0 ถึง 255 โดยถูกคั่นด้วยเครื่องหมายจุด (.) ดังตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนจ่าการบุญ มีไอพีดังต่อไปนี้ 202.143.132.103 ภายใต้ มาตรฐาน TCP/IP เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อกันจะต้องมีหมายเลขประจำตัวไว้อ้างอิงให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ได้ทราบ
ชื่ออินเทอร์เน็ต (Domain Name)ชื่อโดเมน (Domain Name) หมายถึง ชื่อที่ถูกเรียกแทนการเรียกเป็นหมายเลขอินเทอร์เน็ต (IP Address) เนื่องจากการจดจำหมายเลข IP ถึง 16 หลักทำให้ยุ่งยากและไม่สามารถจำได้เวลาท่องเที่ยวไปในระบบอินเทอร์เน็ต จึงนำชื่อที่เป็นตัวอักษรมาใช้แทน ซึ่งมักจะเป็นชื่อที่สื่อ ความหมายถึงหน่วยงาน หรือเจ้าของเว็บไซต์นั้นๆ เช่น เว็บไซต์ของเนคเทค มีหมายเลข IP คือ 202.44.204.33 ซึ่งยากต่อการจดจำ ดังนั้นจึงมี การกำหนดชื่อเรียกใหม่ เป็น www.nectec.or.th ซึ่งก็คือ "ชื่อโดเมน" นั่นเองชื่อโดเมน เป็นชื่อที่ใช้ในการติดต่อ สื่อสารระหว่างบุคคลต่อบุคคล
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Domain Name อดีตชื่อโดเมนยาวไม่เกิน 22 ตัวอักษรได้เปลี่ยนเป็น 63 ตัวอักษรตั้งแต่ปลายปี1999 โดยเฉลี่ยไม่เกิน 11 ตัวอักษร ในการขอจดชื่อโดเมนเนม จะเป็นสิทธิ์แบบเช่าชื่อ ซึ่งมีอายุ 2 ปี และต้องต่ออายุใหม่
อุปกรณ์ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้ทั่วไปถ้าเราต้องการใช้อินเทอร์เน็ต จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อกับISPเราอาจสมัครเป็นสมาชิกโดยเสียค่าบริการรายเดือนซึ่งจะจำกัดจำนวนที่เราเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ในแต่ละเดือนหรือเราอาจซื้อเป็นชุดอินเทอร์เน็ตสำเร็จรูป
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กรที่มีผู้ใช้จำนวนมากสำหรับองค์กรที่มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมาก อาจเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้โดยใช้สาย Lease Line ซึ่งเป็นสายส่งข้อมูล
อุปกรณ์ในการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการติดตั้งอินเทอร์เน็ต จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ดังต่อไป
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ ควรจะสามารถใช้งานWindows ได้และควรเป็น Pentium ความเร็ว 133 เมกะไบต์ (MB)
2. สายโทรศัพท์ จะต้องมีคู่สายโทรศัพท์ ถ้าเป็นหมายเลขส่วนตัวได้ก็ยิ่งดี
3. โมเด็ม ควรเลือกโมเด็มความเร็วอย่างน้อย 56 Kbps
4. สมาชิกอินเทอร์เน็ต จะต้องสมัครสมาชิกกับศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตก่อน โดยซื้อชุดอินเทอร์เน็ตแบบ สำเร็จรูป หรือจะสมัครเป็นสมาชิกแบบรายเดือนก็ได้ เมื่อสมัครแล้วจะได้ชื่อล็อกอินและ รหัสผ่านอีเมล์แอดเดรสสำหรับใช้รับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์บนอินเทอร์เน็ต
5. ซอฟต์แวร์โปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ สำหรับการใช้บริการต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต โดยจะต้องติดตั้งโปรแกรมเหล่านี้ ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์เสียก่อน เช่น - โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ เช่น Internet Explorer - โปรแกรมรับส่งอีเมล์ เช่น Outlook Expre
การเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
1. การเชื่อมโยงกับไอเอสพี คลิกปุ่ม Start เลือก Setting คลิกที่ Dial up Networking เพื่อเปิดหน้าต่าง Dial up Networking
2. ดับเบิ้ลคลิกไอคอนที่สร้างไว้ 3. ที่หน้าต่าง Connect พิมพ์ชื่อที่ช่อง UserName และพิมพ์ Password ที่ช่อง Password ซึ่งทั้งสองหมายเลขนี้ให้ดูได้จากบัตรชั่วโมงอินเทอร์เน็ตที่ซื้อมา 4. คลิกปุ่ม Connect จากนั้นจะได้ยินเสียงการเชื่อมต่อ โดยให้สังเกตที่แถบ Status จะปรากฏปุ่มแสดงสถานะ ว่ากำลังเชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต
5. สังเกตว่าถ้าสัญญาณการเชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ตสมบูรณ์จะปรากฏเครื่องหมายเป็นรูป เครื่องคอมพิวเตอร์มีแสงไฟกระพริบ
6. เมื่อต่อติดแล้ว ให้คลิกที่ โปรแกรมอินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์ เท่านี้ก็สามารถท่อง อินเทอร์เน็ตได้แล้ว
การเยี่ยมชมเว็บไซต์ 1. หลังจากที่เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต ให้เปิดโปรแกรม อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์ 2. พิมพ์ชื่อเว็บที่ต้องการเปิด ที่ช่อง Address กดปุ่ม Enter

หน่วยที่ 5 การใช้งานโปรแกรม Internet Explore



จุดประสงค์การเรียนรู้
1• รู้จักส่วนประกอบที่สำคัญของ Internet Exploreและสามารถใช้งานได้ 2• เข้าใจรูปแบบของการเปิดเว็บเพ็จในลักษณะต่างๆและสามารถเปิดเว็บเพ็จในแต่ละรูปแบบได้อย่างถูกต้อง 3• สามารถอธิบายประโยชน์ของการใช้งาน Favoritesและปฏิบัติได้ 4• สามารถอธิบายประโยชน์ของการใช้งาน Histery และปฏิบัติได้ 5• นักเรียนสามารถกำหนดรูปแบบของเอกสารที่พิมพ์ดูตัวอย่างเอกสารก่อนพิมพ์และพิมพ์เว็บเพ็จที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง

ส่วนประกอบที่สำคัญของ Internet Explorer
ปุ่ม Back ใช้สำหรับย้อนกลับไปหน้าที่ผ่านมาแล้ว
ปุ่ม Forward ใช้สำหรับเปลี่ยนไปหน้าต่อไป (หลังจากที่ย้อนกลับมา)
ปุ่ม Stop ใช้สำหรับหยุดการโหลดข้อมูลในหน้าเว็บเพ็จ
ปุ่ม Refresh ใช้สำหรับการเรียกโหลดข้อมูลหน้าเว็บเพ็จใหม่อีกครั้ง
ปุ่ม Home ใช้สำหรับกลับไปหน้าแรกหรือกลับไปที่ URL ที่ตั้งไว้ให้เป็นหน้าแรก
ปุ่ม Search ใช้สำหรับค้นหาเว็บไซต์
ปุ่ม Favorites ใช้สำหรับเลือกเว็บไซต์จาก Favorites หรือ Book Mark
ปุ่ม History ใช้สำหรับการย้อนกลับไปดูเว็บไซต์ที่เคยเข้าไปดูมาแล้ว
ปุ่ม Mail ใช้สำหรับการ รับ-ส่ง E - mail
ปุ่ม Print ใช้สำหรับการพิมพ์หน้าเว็บออกเครื่องพิมพ์
ปุ่ม Edit ใช้สำหรับการแก้ไขหน้าเว็บเพ็จนั้น
1. Click Mouseโปรแกรม Internet Explorerช่อง Address พิมพ์ URLของเว็บไซต์ที่เราต้องการไปเยี่ยมชมและกด Enter สักครู่ Internet Explorer จะแสดงเว็บเพ็จที่ต้องการ
การเปิดดูเว็บเพ็จในรูปแบบต่าง ๆ
การกำหนดภาษาไทย ปัญหาอย่างหนึ่งที่มักพบในการใช้งานอินเทอร์เน็ต คือ การใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารซึ่งบางคนไม่เก่งภาษาอังกฤษดังนั้นเว็บไซต์ภาษาไทยจึงได้รับการพัฒนาขึ้นมามากกว่าแต่ก่อน เพื่อการใช้งานได้ง่ายขึ้นวิธีการเปลี่ยนให้เป็นฟอนต์ภาษาไทย มีดังนี้ 1. คลิกที่เมนู Viwe - เลือก Encoding 2. เลือกคำว่า Thai (window)ี่เราต้องการให้ปรับอัตโนมัติได้ เลือกคำสั่งViwe - Encoding - Auto-Selectตัวอักษรก็จะได้รับการคัดเลือกทันทีที่เราเรียกใช้
ลิงก์ (Link)
โฮมเพ็จของแต่ละเว็บไซต์ จะมีทั้งข้อความและรูปภาพ ซึ่งอาจจะเป็นหัวข้อ กลุ่มคำหรือรูปภาพที่สัมพันธ์กับเนื้อหา แต่ไม่ได้แสดงเนื้อหาทั้งหมดไว้ในหน้าเดียว หากแต่มีคำสำคัญที่เน้นเป็นจุดเด่น มีสีสันชัดเจน หรือขีดเส้นใต้ไว้ หากผู้ใช้ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ก็คลิกที่ข้อความหรือรูปภาพนั้น เว็บเพ็จนั้นก็จะถูกเปิดขั้นมา วิธีการนี้เราเรียกว่า ลิงก์ (Link) เราสามารถลิงก์ไปยังเว็บเพ็จอื่นๆ ในเว็บไซต์เดียวกัน และลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่นๆได้อย่างไม่จำกัด
1. เมื่อเลื่อนลูกศรไปอยู่เหนือคำ หรือภาพที่เป็น Link สัญลักษณ์ลูกศรจะเปลี่ยนไปเป็นรูปมือ โดยให้สังเกตที่แถบสถานะ จะแสดงแอดเดรสที่ Link เชื่อมโยงด้วย 2. Click Mouse ที่ Link เพื่อเปิดดูข้อมูลที่เชื่อมกับ Link 3. สักครู่หนึ่ง Internet Explorer จะแสดงเว็บเพจที่ Link เชื่อมโยงการใช้ URL กระโดดไปหน้าที่ต้องการ ในการท่อง World Wide Web เราอาจจะเปิดดู Web Site ไปเรื่อย ๆ โดยการผ่าน Link ต่าง ๆ
การฟังรายการวิทยุจากทั่วโลก
ปัจจุบันสถานีวิทยุหลายแห่งทั่วโลก ได้เปิดเว็บไซต์ของตนเอง เพื่อถ่ายทอดเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตไปทั่วโลก โดยไม่ต้องใช้จานรับสัญญาณดาวเทียมเหมือนในอดีตเราก็สามารถรับฟังได้เหมือนวิทยุทั่วไปถ้าเราต้องการดูรายการทีวีและรับฟังวิทยุ ก็สามารถทำได้

การใช้ Favorites
Favorites เป็นคำสั่งที่รวบรวมเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราต้องใช้งานประจำเก็บเอาไว้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน โดยเราไม่จำเป็นต้องพิมพ์ URL ทุกครั้ง เพียงแต่คลิกเลือกในคำสั่ง Favorites คล้ายๆ กับการทำที่คั่นหนังสือไว้หลายครั้งเราจะพบว่า มีเว็บเพ็จจำนวนมากใน WWW ที่เราต้องการกลับไปเยี่ยมชมอีก การจดจำ URL ของเว็บเพ็จเหล่านั้นคงไม่สะดวกที่สุด วิธีที่ดีกว่าคือ สั่งให้ Internet Explorer บันทึก URL ของเว็บเพ็จที่เราชอบไว้ใน Favoritesซึ่งคล้ายกับการอ่านหนังสือเล่มหนึ่งแล้วคั่นหน้าหนังสือบางหน้าไว้ เพื่อจะได้กลับมาเปิดดูอีกครั้งได้สะดวก
1.เปิดเว็บเพ็จที่ต้องการบันทึกตำแหน่ง 2. เลือก Favorites>Add to Favorites 3. จะมี Dialog ‘Add Favorite’ ปรากฏขึ้นมา พิมพ์ชื่อ Web page ใน ช่อง Name: 4. กด OK
ขั้นตอนการใช้ History
การเรียกใช้งาน Historyสามารถเปิดดูรายการประวัติการเข้าเว็บไซต์ได้ที่เมนู History –> Show in Sidebar หรือไม่ใครที่เอาไอคอน History มาวางไว้ที่ Navigation Bar ก็คลิกไปได้เลยโดยหลังจากคลิกเข้าไปแล้วจะปรากฎมาเป็นบาร์ข้างๆ
รูปแบบการแสดงประวัติ
เราสามารถดูรูปแบบการแสดงประวัติได้ถึง 5 แบบด้วยกันBy Date and Site : จำแนกการเข้าเว็บเรียงตามเวลา แล้วแยกเป็นเว็บไซต์ต่างๆ อีกชั้น By Site : จำแนกการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ เรียงลำดับตาม Title จาก A-Z หรือ ก-ฮ By Date : จำแนกการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ เรียงตามเวลา จากนั้นแยกตาม Title ของเว็บ By Most Visited : จำแนกการเข้าเว็บไซต์ โดยเว็บที่เข้าบ่อยสุด จะอยู่ข้างบนสุด
By Last Visited : จำแนกการเข้าเว็บไซต์ โดยเว็บที่เข้าล่าสุด จะอยู่ข้างบนสุด
การลบประวัติเว็บไซต์ลบทีละเว็บ คลิกขวาในเว็บที่ต้องการจะลบ แล้วกด Delete
กดปุ่ม Ctrl บนคีย์บอร์ดค้างไว้ แล้วคลิกไปที่เว็บที่ต้องการจะลบคลิกเลือกไปเท่าที่ต้องการ จากนั้นก็ทำการกดปุ่ม Del หรือ Delete บนคีย์บอร์ดที่ต้องการ
การพิมพ์เว็บเพ็จออกทางเครื่องพิมพ์
ในขณะที่คุณกำลังท่องเที่ยวอยู่บนออนไลน์นั้น คุณสามารถสั่งพิมพ์เว็บเพ็จออกทางเครื่องพิมพ์ได้ทันที โดยที่ Internet Explore ให้คุณเลือกที่เมนู File > Printซึ่งจะแสดงรายละเอียดในการสั่งพิมพ์งานให้คุณเลือกได้ว่าจะสั่งพิมพ์ที่เครื่องพิมพ์ไหน(ในกรณีที่คุณเชื่อมเครื่องพิมพ์หลายเครื่อง)จำนวนหน้าจำนวนสำเนาและที่พิเศษคือหากเว็บเพ็จที่คุณต้องการจะสั่งพิมพ์ประกอบด้วยเฟรมหลายๆ เฟรม คุณสามารถเลือกได้ว่าคุณจะสั่งพิมพ์ที่เฟรมไหน หรือจะสั่งพิมพ์หมดทุกเฟรม
1. คลิกที่เมนู File ตัวอย่างก่อนพิมพ์ 2. เลือกคำสั่ง Print Preview 3. แสดงตัวอย่างจำนวนหน้าที่จะพิมพ์ในหน้าเว็บเพ็จ 4. ลือกคำสั่ง Print 5. ระบุงานที่ต้องการพิมพ์ เช่น ชื่อเครื่องพิมพ์ จำนวนหน้า จำนวนฉบับที่ต้องการพิมพ์

หน่วยที่ 6 ท่องไปในโลกของอินเทอร์เน็ต




1• นักเรียนรวบรวมประเภทของบริการต่างๆที่ให้บริการในอินเทอร์เน็ตและสามารถอธิบายรูปแบบการให้บริการ พร้อมทั้งสามารถใช้งานได้
2. นักเรียนรู้จักโปรแกรมสำหรับสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตและสามารถใช้งานได้

บริการต่าง ๆที่มีให้บริการในอินเทอร์เน็ต

บริการค้นข้อมูล World Wide WebWWW เรียกว่า ภาษา HTML (HyperText Markup Language) การเผยแพร่ข้อมูลทาง อินเทอร์เน็ต ผ่านสื่อประเภทเว็บเพ็จ (WebPage) เป็นที่นิยมกันอย่างสูงในปัจจุบัน ไม่เฉพาะข้อมูลโฆษณาสินค้า ยังรวมไปถึงข้อมูลทางการแพทย์ การเรียน งานวิจัยต่างๆ เพราะเข้าถึงกลุ่มผู้สนใจได้ทั่วโลก ตลอดจนข้อมูลที่นำเสนอออกไป สามารถเผยแพร่ ได้ทั้งข้อมูลตัวอักษร ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง และภาพเคลื่อนไหว มีลูกเล่นและเทคนิคการนำเสนอ ที่หลากหลาย อันส่งผลให้ระบบ WWWเติบโตเป็นหนึ่ง ในรูปแบบบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ ระบบอินเทอร์เน็ต

บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail or E-mail)

ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเรียกย่อๆ ว่า E - Mail เป็นวิธีการติดต่อสื่อสารกันบน Internet ที่เป็นมาตรฐาน และเก่าแก่ที่สุด โดยที่สามารถจะส่งเอกสารที่เป็นข้อความธรรมดา จนถึงการส่งเอกสาร แบบมัลติมิเดีย มีทั้งภาพและเสียง ไปรอบโลก

บริการคัดลอกข้อมูลข้ามเครือข่าย ด้วย (File Transfer Protocol : FTP) การโอนย้ายแฟ้มข้อมูลระหว่างกัน เป็นระบบที่ทำให้ ผู้ใช้สามารถรับส่งแฟ้มข้อมูลระหว่างกันหรือมีสถานีให้บริการเก็บแฟ้มข้อมูลที่อยู่ในที่ต่างๆ และให้บริการ ผู้ใช้สามารถเข้าไปคัดเลือกนำแฟ้มข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น โปรแกรม cuteFTP โปรแกรม wsFTP เป็นต้น บริการใช้เครื่องข้ามเครือข่าย ด้วยโปรแกรม telnetการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในที่ห่างไกล (telnet)การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่าย ทำให้เราสามารถติดต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นสถานีบริการในที่ห่างไกลได้ถ้าสถานีบริการนั้นยินยอม ทำให้ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลไปประมวลผลยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครือข่าย

บริการค้นข้อมูลข้ามเครือข่ายเนื่องจากมีความพยายามที่จะจัดตั้งระบบ Electronic Library หรือห้องสมุดเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึงมีการพัฒนาระบบดังกล่าว เพื่อทำเมนูในการค้นคว้า หาข้อมูลที่ต้องการ ได้แก่ Archie เป็นวิธีการแบบง่าย ในการที่จะค้นหาสารสนเทศ ในลักษณะของ anonymous ftpพัฒนาจากมหาวิทยาลัย Mc Gill ใน Montreal ประเทศแคนาดา โปรแกรมนี้เป็นความพยายามอันแรก ที่จะใช้ระบบ Internet เป็น Catalog เพื่อเก็บและเผยแพร่ข้อมูล สารสนเทศบนเครือข่ายคุณสามารถส่งคำถามไปยังเครื่องที่บริการด้วย E-mail และเครื่องบริการจะตอบคำถามกลับมาGopherพัฒนาจากมหาวิทยาลัย Minnesota เป็นวิธีการซึ่งสามารถที่จะค้นหา และ รับข้อมูลแบบง่าย บน Internet โดยไม่ยุ่งยาก และสามารถรับข้อมูลได้หลาย แบบ เช่น ข้อความ เสียง หรือภาพ Gopher นั้น ทำงานผ่านเครือข่ายโดยอัตโนมัติ โดยมีตัวให้บริการ อยู่ทั่วไปบน Internet แต่ละตัวให้บริการ จะเก็บข้อมูลของตนเอง รวมถึงการเชื่อมโยงไปยังตัวให้บริการอื่นๆ ในการเข้าถึง Gopher ด้วย Gopher name Veronica มาจากคำว่า Very Easy Rodent-Oriented Net-oriented Index to Computerized Archives ซึ่งพัฒนาจาก มหาวิทยาลัยแห่ง Nevada ซึ่งจะใช้การค้นหาด้วย Key Word ในทุกๆ ตัวให้บริการ และทุกๆ เมนู หรือเรียกอีกแบบหนึ่งได้ว่า เก็บดัชนีของทุกๆ ตัวให้บริการ ไว้ที่ Veronica WAIS มาจากคำว่า Wide Area Information Sever สามารถใช้โปรแกรมนี้ ในการค้นหาแหล่งข้อมูล โดยใช้ภาษาแบบปกติ ไม่ต้องใช้โปรแกรมภาษาพิเศษ หรือภาษาของฐานข้อมูลในการค้น WAIS ทำงานโดยการรับคำร้อง ในการค้นและเปรียบเทียบ ในเอกสารต้นฉบับว่าเอกสารใด ตรงกับความต้องการ และส่งรายการทั้งหมดมายังผู้ที่ต้องการบริการสนทนาออนไลน์ Chat (IRC - Internet Relay Chat) บริการสนทนาออนไลน์ หรือที่เรียกว่า Chat (IRC - Internet Relay Chat) หรือเรียกว่า Talk เป็นบริการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในปัจจุบัน โดยผู้ใช้บริการสามารถคุยโต้ตอบ ฝากคำถามแสดงความคิดเห็น (ทั้งโดยการพิมพ์ และพูด) กับผู้อื่นๆในเครือข่ายได้ในเวลาเดียวกันปัจจุบันบริการนี้ ได้นำมาประยุกต์ใช้กับการประชุมทางไกล (VDO Conference) โดยอาศัยอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น กระดานสนทนา (Web Board), ไมโครโฟน, กล้องส่งภาพขนาดเล็ก

โปรแกรมสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต

รูปแบบการทำงานของโปรแกรมสื่อสาร โปรแกรมการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต ในบทนี้จะกล่าวถึงโปรแกรม Internet Explorer
ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตที่พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์จุดเด่นของInternet Explorer คือการรวมกันของโปรแกรมสำหรับให้บริการต่างๆ ที่ได้กล่าวถึงได้อย่างลงตัว ทำให้เรียนรู้ง่ายและใช้งานสะดวก

ซอฟแวร์สำหรับใช้งาน

Internet Explorer 6 ประกอบด้วยโปรแกรมย่อยหลายโปรแกรมที่ สำคัญซึ่งมีหน้าที่ดังนี้ Internet Explorer เป็นโปรแกรมสำหรับเปิดดูข้อมูลใน World Wide Web เป็นโปรแกรมสำคัญในชุด Internet Explorer 6 สำหรับโปรแกรมที่ใช้เป็นบราวเซอร์ของค่ายอื่นๆ นอกจาก Internet Explorer แล้วก็มี Mosaic, Netscape, Cello เป็นต้น
Outlook Express เป็นโปรแกรมสำหรับส่งข้อความทางอีเมลล์และตอบกลับอีเมลล์ที่ได้รับ นอกจากนั้น Outlook Expressสามารถทำงานกับยูสเน็ตทำให้สามารถอ่านข้อความในกลุ่มข่าวที่สนใจและแสดงความคิดเห็นได้

Microsoft NetMeeting ใน Windows 98/Me/2000NetMeeting เป็นโปรแกรมที่ให้เราใช้เสียงในการสื่อสารกับผู้อื่นทางอินเตอร์เน็ตเราสามารถใช้NetMeeting ประชุมทางไกลกับผู้อื่นโดยใช้ภาพและข้อความในการสื่อสารได้ด้วย

MSN Messenger Service ใน Windows 98/Me/2000เป็นโปรแกรมรายการสื่อสารจากค่ายไมโครซอฟท์ ที่สามารถทำการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตได้หลายรูปแบบ ได้แก่ การสนทนาด้วยข้อความตอบโต้ถึงกัน บริการรับส่งอีเมลล์ การรับส่งไฟล์ การสนทนาออนไลน์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการส่งข้อความถึงเครื่องมือสื่อสารแบบพกพา

Windows Messenger ใน Windows XP Windows Messenger เป็นโปรแกรมที่นำเอาความสามารถของ MSN Messenger กับ Netmeeting มารวมกัน คือความสามารถรับส่งข้อความ, อีเมลล์ ไฟล์ และสนทนากันด้วยภาพและเสียงมารวมไว้เป็นโปรแกรมเดียวกันอยู่ใน Windows XPนอกจากนี้แล้วยังมีโปรแกรมสนทนาออนไลน์ หรือที่เรียกว่า Chat (IRC - Internet Relay Chat) หรือเรียกว่า Talk ของค่ายอื่นๆ อีกหลากหลายโปรแกรมที่นิยมใช้กัน เช่น Pirch, ICQ, InternetPhone เป็นต้น

เรื่องสนุกๆ กับ Emoticon

Emoticon เป็นสัญลักษณ์ที่คิดค้นเพื่อให้การสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะบริการ Chat กระทำได้ง่ายและสะดวก โดยสัญลักษณ์แต่ละชิ้น จะแทนการแสดงออกทางอารมย์ลักษณะต่างๆ และเป็นการเพิ่มลูกเล่นให้กับการสื่อสารสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันได้ เช่น เราอาจส่งข้อความทักทายเพื่อนที่มีข้อความดังนี้


:-) ยิ้ม
;-) ยิ้มและขยิบตา
:-( หน้านิ่วคิ้วขมวด
:- ยิ้มแบบเจื่อนๆ
:-> อยู่ในอารมณ์ขันเล็กๆ
>:-> อยู่ในอารมย์ไม่ชอบ
>;-> ไม่ชอบเป็นอย่างมาก
>:-C โกรธแล้วนะ
:) ฝืนๆ ยิ้ม
(-: สัญลักษณ์ของคนถนัดมือซ้าย
-o กำลังหาว
- ง่วงนอน
:-/ งง
<> ไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ
<> หัวเราะ
:-x ห้ามพูด, ถูกปิดปาก
:-P แลบลิ้น
:-9 กำลังชำเลือง, หรือค้อนให้
C=:-) เป็นกุ๊กในครัว
*<:-) เป็นนางฟ้า
O:-) เป็นซานตาคลอส
:-@ ตระโกน
:-O โอ้โฮ
[:-) ฟังเพลง (สวมหูฟัง)
:-* เปรี้ยวปาก
:-)~ พ่นน้ำลาย
:~) เป็นหวัด
:'-) ร้องไห้ด้วยความสุข
:-D หัวเราะใส่กัน
:---} พูดโกหก (จมูกยาว)

หน่วยที่ 7 การสืบค้นข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต



จุดประสงค์การเรียนรู้

1• สามารถอธิบายประโยชน์และยกตัวอย่างของการสืบค้นข้อมูลข่าวสารบนอินเทอร์เน็ตได้
2• สามารถอธิบายลักษณะของการสืบค้นข้อมูลแต่ละประเภทได้อย่างถูกต้อง 3. รู้จักและสามารถอธิบายความหมายของ Search Engine ได้อย่างถูกต้อง
4. นักเรียนสามารถใช้งาน Search Engine เพื่อค้นหาข้อมูลและปฏิบัติตามขั้นตอนในการค้นหาข้อมูล ได้อย่างถูกต้อง

ลักษณะของการสืบค้นข้อมูล
Search Engine ช่วยในการค้นหาได้อย่างรวดเร็วโดยทั่วไปSearch Engine แบ่งลักษณะรูปแบบการค้นหา เป็น 3 ลักษณะ คือ
1. การค้นแบบนามานุกรม (Directory) หมายถึงการแจ้งแหล่งที่ตั้ง ซึ่งบรรจุเนื้อหาหรือเว็บไซต์ต่างๆ ไว้เป็นหมวดหมู่หรือกลุ่มใหญ่ ๆ และแต่ละกลุ่มจะแบ่งเป็นเรื่องย่อยๆ ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับหลักการจัดหมวดหมู่หนังสือในห้องสมุด
2. การค้นหาแบบดรรชนี (Index) หรือคำสำคัญ (Keywords)เป็นการค้นหาข้อมูลในลักษณะคำหรือวลี ข้อความต่างๆ ที่อาจจะเป็นคำสำคัญ ในการค้นหาลักษณะนี้ตัวโปรแกรมหรือเว็บไซต์จะมีเครื่องมือช่วยในการทำดรรชนีค้นที่เรียกว่าSpider หรือ Robot หรือ Crawlerทำหน้าที่เช็คตามหน้าเว็บต่างๆของเว็บไซต์ที่มีการเปิดดูอยู่แล้วนำคำที่ค้นมาจัดทำเป็นดรรชนีค้นหาโดยอัตโนมัติ ซึ่งการค้นแบบนี้จะสามารถค้นหาเว็บเพ็จใหม่ๆและทันสมัยมากกว่าการค้นแบบนามานุกรม
3. การค้นหาแบบ Metasearch Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยังSearch Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล
ในการค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น เราสามารถค้นหาได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
1. การเข้าไปค้นหาในเว็บไซต์นั้นๆ โดยตรงเราทราบจากแหล่งข้อมูลนั้นๆอยู่แล้วว่าอยู่ที่URLอะไรหรือเว็บไซต์อะไรวิธีการนี้มีข้อเสียเปรียบก็คือเราต้องทราบว่าข้อมูลที่ต้องการอยู่ที่เว็บไซต์ไหนหากเราไม่ทราบ ชื่อของเว็บไซต์หรือ URLเราจะไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์นั้นๆ ได้เลย
2. การใช้เครื่องมือค้นหา (Search Engine)วิธีที่สองนี้เป็นการใช้เครื่องมือช่วยค้นหาที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตนั่นคือSearch Engineซึ่งเครื่องมือนี้จะใช้ในการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตได้ โดยเราจะต้องป้อนคำหลักหรือคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ต้องการค้นหา เราเรียกว่า Keyword เข้าไปใน Search Engine ก็จะใช้ช่วยทำการค้นหาว่ามีในเว็บไซต์ใดบ้าง
แหล่งข้อมูลคอมพิวเตอร์
อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่ จนได้รับสมญานามว่า “ห้องสมุดโลก” ดังนั้นในการที่เราจะค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย

ตัวอย่างเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลของไทย
URL
Bangkokcity
http://www.bangkokcity.com
Sanook
http://www.sanook.com
Hunsa
http://www.hunsa.com
YamYai
http://www.yamyai.com
LemonOnline
http://www.lemononline.com
ThaiTop
http://www.thaitop.com
Siam2You
http://www.siam2you.com
SanHa
http://www.sanha.com
Thaiseek
http://www.thaiseek.com
Siamguru
http://www.siamguru.com
Catcha
http://www.catcha.com
ตัวอย่างเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลของต่างประเทศ

URL
Yahoo
http://www.yahoo.com
Altavista
http://www.altavista.com
Lycos
http://www.lycos.com
Excite
http://www.excite.com
Google
http://www.goob.com
Hotbot
http://www.hotbot.com
AOL Search
http://www.search.aol.com
MSN Search
http://www.search.msn.com
Ask Jeeves
http://www.askjeeves.com
Snap
http://www.snap.com
ประโยชน์ของการสืบค้นข้อมูลข่าวสารบนอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตประกอบไปด้วยบริการที่หลากหลาย ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการมากมาย ดังต่อไปนี้
1.ค้นคว้าข้อมูลในลักษณะต่างๆ เช่น งานวิจัยบทความในหนังสือพิมพ์ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ฯลฯ ได้จากแหล่งข้อมูลทั่วโลก
2.ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างๆ อยู่ รวมทั้งอ่านบทความเรื่องราวที่ลงในนิตยสาร
3.รับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเงินค่าตราไปรษณียากรถึงแม้จะเป็นการส่งข้อความไปต่างประเทศ
4.สนทนากับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลได้ทั้งในลักษณะการพิมพ์ข้อความและเสียง
5.ตรวจดูราคาสินค้าและสั่งซื้อสินค้ารวมทั้งบริการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปห้างสรรพสินค้า
6.ถ่ายโอนแฟ้มข้อความ ภาพ และเสียงจากที่อื่นๆ รวมทั้งโปรแกรมต่างๆ ได้จากแหล่งที่มีผู้ให้บริการเพื่อประชุมทางไกล หรือใช้ในการเรียนการสอนทางไกล
เครื่องมือช่วยค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต
เครื่องมือช่วยค้น หรือ เซิร์ชเอ็นจิน (Search Engine)
Search Engine คือ เว็บไซต์ที่ให้บริการการค้นหาข้อมูล เว็บไซต์ดังกล่าวจะมีโปรแกรมชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นเพื่อช่วยในการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต การทำงานของSearch Engineนั้นจะเริ่มจากการหาเว็บไซต์ต่างๆในอินเทอร์เน็ตว่ามีเว็บไซต์์อะไรแล้วสร้างเป็นฐานข้อมูลของเว็บไซต์ต่างๆขึ้นมาเก็บไว้เพื่อใช้ในการค้นหาตามความต้องการของผู้ใช้ ฐานข้อมูลเหล่านี้จะต้องมีการปรับปรุงบ่อยๆเพราะมีเว็บไซต์เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลานอกจากการสร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์์์ของตนเองแล้ว Search Engine ยังอาจจะใช้วิธีการค้นหาจากฐานข้อมูลของ Search Engine ตัวอื่นๆแล้วนำมาบริการก็ได้
SearchEngine แต่ละตัวมีข้อดีในการสืบค้นและวิธีการในการสืบค้นที่แตกต่างกันตลอดจนมีการจัดทำส่วนพิเศษต่างๆในการสืบค้นเพื่อช่วยผู้ใช้ และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ควรมีความรู้เกี่ยวกับการค้นหา ดังนี้ คือ
1. วิธีการใช้ Search Engine แต่ละเว็บไซต์Search Engine แต่ละตัวจะมีส่วนช่วยในการอธิบายวิธีใช้ในส่วนที่เรียกว่า Help หรือAbout เช่น Yahoo มีวิธีกำหนดคำค้นเพื่อให้ได้ผลค้นที่เฉพาะเจาะจงหรือตรงต่อความต้องการ ดังนี้
1.1 ใช้เครื่องหมายดอกจันทร์ (*) เพื่อค้นหาคำที่มีการสกดคล้ายกัน เช่น smok* หมายความว่า ให้ค้นหาคำทั้งหมดที่ขึ้นด้วย 5 ตัวอักษรแรก เช่น smoke smoker เป็นต้น1.2 ใช้เครื่องหมาย + สำหรับกำหนดให้แสดงผลการค้นเฉพาะเว็บไซต์ ที่ปรากฏคำทั้งสองคำ เช่น Secondary + education1.3 ใช้เครื่องหมาย “ ” สำหรับการค้นหาคำที่เป็นวลี เช่น “great barrier reaf” ฯลฯ
2.การใช้ตรรกบูลีน (Boolean Logic)เพื่อให้สามารถกำหนดการค้นหาที่แคบเข้ามา โดยใช้คำ AND OR NOT เข้าช่วยในการกำหนดคำค้นเพื่อให้สามารถค้นหาได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น
การใช้ ANDการกำหนดใช้ ANDจะใช้เมื่อต้องการกำหนดให้ค้นรายการที่ปรากฏคำที่มีความเกี่ยวข้องกัน ในรายการเดียวกัน เช่น water and soilการกำหนดแบบนี้หมายความว่าผลการค้นต้องการคือเฉพาะรายการที่มีคำว่า water และ soil เท่านั้นหากรายการใดที่มีแต่คำว่า water หรือ soil ไม่ต้องการการใช้คำว่า ORการใช้ OR เป็นการขยายคำค้นโดยกำหนดคำหลายที่เห็นว่ามีความหามายคล้ายกันหรือสามารถสะกดได้หลายแบบการใช้ NOTการใช้ NOT จะใช้ในเมื่อต้องการจำกัดการค้นเข้ามาคือไม่ต้องการรายการที่มีเนื้อหาส่วนที่ไม่ต้องการปรากฏอยู่ โดยกำหนดให้ตัดคำที่ไม่ต้องการออกเช่นwater not soilการกำหนดคำแบบนี้ หมายถึง
1. ให้ค้นหารายการที่มีคำว่า water แต่หากรายการใดมีคำว่า soil อยู่ด้วย ไม่ต้องการ
2. ผลสืบค้นที่ได้ทุกรายการที่มีคำว่า water และหากมีคำว่าSoil ให้คัดออกทุกรายการ
การค้นหาข้อมูล โดยใช้ Search Engine
เซิร์ชเอ็นจิน (Search Engine)ในการค้นหาข้อมูลในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นเราสามารถสืบค้นข้อมูลได้ ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง SearchEngineเว็บไซต์ที่น่าสนใจต่างๆ ซึ่งมีรูปแบบการสืบค้นทั้งแบบนามานุกรมและแบบดรรชนีสืบค้นโดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้
1. เข้าไปยังเว็บไซต์ www.google.com โดยพิมพ์ URL ที่ช่อง Addres
เว็บ :เป็นการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก
รูปภาพ : เป็นการค้นหารูปภาพหลากหลายฟอร์แมตจากเว็บไซต์ต่างๆ
กลุ่มข่าว :เป็นการค้นหาเรื่องราวที่น่าสนใจจากกลุ่มข่าวต่างๆ
สารบบเว็บ :การค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่แยกออกเป็นหมวดหมู่
2. พิมพ์ Key word เข้าไป ในที่นี้เราใช้คำว่า “ดาวอังคาร” เป็น Keyword ได้เลย แต่ต้องอยู่ในเครี่องหมาย “…” เนื่องจากเราต้องใช้ทั้ง 3 คำเป็น Keyword กด Enter แล้วรอผลการค้นหา
3. คลิกเลือก URL หรือเว็บไซต์ จากรายการที่ได้จากการค้นหาของ Search Engine ที่แสดงบนจอเพื่อตรวจสอบว่าหน้าเว็บเพ็จดังกล่าวเป็นเว็บเพ็จที่เราต้องการหรือไม่
4. คลิกที่ชื่อเรื่อง เพื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ที่มีข้อมูลตามต้องการ

หน่วยที่ 8 การใช้งานไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์


จุดประสงค์การเรียนรู้
1• สามารถรวบรวมคำศัพท์และอธิบายความหมายของคำศัพท์เฉพาะที่พบในการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ 2• สามารถอธิบายความหมายของหมายเลข ชื่อ และที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตได้อย่างถูกต้อง 3• รู้จักและเข้าใจหน้าที่ของอุปกรณ์แต่ละชนิดได้อย่างถูกต้อง 4. สามารถอธิบายวิธีการและทำการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยตนเองได้
ความหมายและประโยชน์ของ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมล์ (Electronic Mail - Email)เป็นวิธีติดต่อสื่อสารกันบน Internet ที่เป็นมาตรฐาน และเก่าแก่ที่สุด โดยที่สามารถส่งเอกสารที่เป็นข้อความธรรมดาจนถึงการส่งเอกสารแบบมัลติมีเดียมีทั้งภาพและเสียงไปรอบโลก ในการให้บริการแบบนี้ ผู้ที่ต้องการส่ง และรับ จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์จะต้องมีบัญชีการใช้บริการที่แน่นอนซึ่งเรียกว่า e-mail Address คล้าย ๆ กับชื่อ – นามสกุล และที่อยู่นั่นเองปัจจุบันเราสามารถมีอีเมล์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
อีเมล์จึงเป็นรูปแบบการสื่อสารที่ทันสมัยรูปแบบหนึ่งที่มีความสำคัญ ดังนี้
1. ทำให้การให้การติดต่อสื่อสารทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็วทันที ระยะทางไม่เป็นอุปสรรค สำหรับอีเมล์ในทุกแห่งทั่วโลกที่มีเครือข่ายคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อถึงกันได้
2. สามารถส่งจดหมายถึงผู้รับที่ต้องการได้ทุกเวลา จดหมายจะถูกเก็บไว้ในตู้จดหมายของคอมพิวเตอร์
3. สามารถส่งจดหมายถึงผู้รับหลายๆ คนได้ในเวลาเดียวกัน
4. ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปส่งจดหมายถึงตู้ไปรษณีย์
5. ผู้รับจดหมายสามารถเรียกอ่านจดหมายได้ทุกเวลาตามสะดวก
6. สามารถถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล (Transferring Files) แนบไปกับจดหมายถึงผู้รับได้ ทำให้การแลกเปลี่ยนข่าวสารเป็นไปได้โดยสะดวก
เว็ปไซต์หรือหน่วยงานที่ให้บริการฟรีอีเมลล์
รายชื่อผู้ให้บริการอีเมล์ฟรีทั้งของไทยและต่างประเทศ เลือกใช้กันเอาเองนะครับ
การลงทะเบียนเพื่อขอที่อยู่ทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ในการใช้งานเบื้องต้นของอีเมล์นั้นก่อนอื่นผู้ใช้จะต้องสมัครเป็นสมาชิกของผู้ให้บริการก่อน ซึ่งปัจจุบันมีเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลกเปิดให้บริการสมัครเป็นสมาชิกมากมาย ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเว็บไซต์ที่ให้บริการอีเมล์ฟรีของไทย คือในการใช้งานนั้น แรกสุดเราก็เข้าสู่เว็บเพ็จของผู้ให้บริการ เช่น yahoo.com ดังนี้

ในการลงทะเบียนเพื่อขอที่อยู่ทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรกนั้นเราต้องคลิกปุ่ม Sign

เมื่อทำการลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้วจะปรากฎหน้าจอการใช้งานฟรีอีเมลล์ ซึ่งจะมีส่วนประกอบคล้ายคลึงกันทุกที่

ทำการกรอก Login ,Password และข้อมูลส่วนตัวพร้อมรายละเอียด

การรับ - ส่ง ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์

เมื่อจะเริ่มการใช้งานอีเมลล์ครั้งต่อไปก็เลือกไปยังเว็บไซต์หน้าที่เป็นบริการ E-mail โดยหน้าแรกจะเป็น หน้าที่ให้เราเชื่อมต่อเข้าสู่การทำงาน

เมื่อเราใส่ชื่อและรหัสถูกต้องแล้วการทำงานจะเข้าสู่หน้าที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับ E-mail ของสมาชิกคนนั้น

บนหน้าจอจะมีรายละเอียดบอกว่าขณะนี้มีจดหมายมาถึงเรากี่ฉบับ จาก E-mail Address ใด ที่เราสามารถเปิดดูได้ โดยการคลิกที่ชื่อจดหมายนั้น หากมีหลายฉบับ หลังจากที่ดูฉบับที่หนึ่งแล้วเราสามารถเปิดดูฉบับต่อไปโดยการคลิกที่ Next หรือย้อนดูฉบับก่อนหน้านั้นโดยการคลิกที่ Previous หรืออาจจะลบทิ้งโดยการคลิกที่ Delete
บนหน้าเว็บเพ็จรายละเอียด หากเราต้องการเขียนจดหมายให้คลิกที่ Compose ซึ่งจะเข้าสู่หน้าเว็บที่ให้เราเขียนจดหมาย โดยจะมีช่องให้เราใส่ E-Mail Address ผู้รับ ชื่อจดหมายและข้อความของจดหมาย เมื่อเขียนเสร็จและต้องการส่งก็คลิกที่ปุ่ม SENDจดหมายจะถูกจัดส่งไปยังคอมพิวเตอร์ที่ผู้รับ และไปเก็บรอให้ผู้รับเปิดดู

การแนบแฟ้มข้อมูล

ในการส่งจดหมายนั้นบางครั้งเราอาจจะมีข้อความที่ต้องการส่งไปพร้อมจดหมาย เราก็สามารถแนบ ข้อความไปด้วยได้ โดยเก็บข้อความนั้นเป็นแฟ้มข้อมูลแล้วแนบไป

ในการแนบไฟล์หรือส่งเอกสาร มีขั้นตอนในการปฏิบัติ ดังนี้

1. เปิดกล่องจดหมาย ระบุชื่ออีเมล์ผู้รับ พิมพ์เนื้อความของจดหมายตามปกติ 2. คลิกที่ แนบไฟล์ 0 ไฟล์ เพื่อไปยังหน้า "แนบไฟล์" 3. คลิกคำว่า Browse 4. เพื่อเลือกไฟล์ที่จะแนบ ตามจำนวนที่ต้องการ แล้วคลิกที่ปุ่ม ซึ่งจะเห็นชื่อไฟล์ที่คุณเลือกปรากฏอยู่ในรายชื่อไฟล์แนบ 5. สังเกตว่าในช่องแนบไฟล์จะปรากฏชื่อไฟล์ที่เราแนบส่ง หลังจากนั้นคลิกที่ ส่งจดหมาย ข้อมูลหรือไฟล์ที่แนบจะถูกส่งไปพร้อมกับจดหมาย ซึ่งเราสามารถเปิดรับได้เหมือนกับการเปิด E - mail ทั่วๆ ไป

การจัดระเบียบให้กับกล่องจดหมาย

การจัดเรียงเริ่มต้นที่ใช้ในการแสดงข้อความคือการจัดเรียงตามวันที่ เมื่อเลือกการจัดเรียงและดูการจัดเรียงดังกล่าว กลุ่มข้อความจะขยายเต็มที่ตามค่าเริ่มต้น

1. คลิกที่ลูกศรที่อยู่ติดกับส่วนหัวของข้อความเพื่อขยายหรือปิดข้อความที่เกี่ยวข้อง
2.ข้อความนี้ไม่มีลูกศรก็แสดงว่าไม่มีการตอบกลับใดมีความสัมพันธ์กับข้อความนี้ 3.ข้อความจะถูกเยื้องเพื่อแสดงว่าบุคคลใดตอบกลับบุคคลใด และตอบกลับเมื่อใด เพื่อดูว่ามีการจัดเรียงอย่างน้อยหนึ่งแบบที่เหมาะสมกับความต้องการหรือไม่



หน่วยที่ 9 การบันทึกเนื้อหาที่ต้องการจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต




1• นักเรียนสามารถอธิบายขั้นตอนและทำการโหลดไฟล์จากอินเทอร์เน็ตมาเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการได้
2• นักเรียนสามารถอธิบายขั้นตอนและทำการเก็บเว็บเพ็จทั้งหมดที่ต้องการได้
3• นักเรียนสามารถอธิบายขั้นตอนและทำการบันทึกไฟล์ภาพที่ต้องการได้
4• นักเรียนสามารถอธิบายขั้นตอนและทำการบันทึกไฟล์เสียงที่ต้องการได้
เว็ปไซต์ที่ให้บริการดาวน์โหลดข้อมูล
ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่เป็นเครื่องมือช่วยดาวน์โหลดเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะ นามานุกรม และแบบดรรชนี ซึ่งแต่ละเว็บไซต์ก็มีข้อดีแตกต่างกันไป
ขอยกตัวอย่างเว็บไซต์ระดับแนวหน้าของไทยและต่างประเทศ Yahoo (อ่านว่า ยา-ฮู) เป็น Search Engine ที่เก่าแก่และเรียกว่ามีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดตัวหนึ่งในอาณาจักรอินเทอร์เน็ต จุดเด่นหลักของเว็บไซต์นี้มาจากความสามารถในการดาวน์โหลดข้อมูลที่ทำได้อย่างรวดเร็วจุดหนึ่งที่ทำให้Yahooโดดเด่นเป็นพิเศษก็คือการแบ่งเว็บไซต์ที่เก็บในฐานข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่
การดาวน์โหลดไฟล์จากอินเทอร์เน็ตมาเก็บไว้
อินเทอร์เน็ตมีโปรแกรมจำนวนมากที่เราสามารถโหลดมาได้ฟรี ซึ่งโปรแกรมประเภทนี้มีชื่อเรียกว่า ฟรีแวร์ (Freeware) หรือ แชร์แวร์ (Shareware) ที่ให้เราทดลองใช้เมื่อหมดเวลาทดลองก็ให้เราสามารถจ่ายเงินซื้อมาใช้จริงได้ ดังตัวอย่างเป็นการไปที่เว็บไซต์ www.dowload.com เพื่อหาเกมที่ชื่อ pacman มาลองเล่น 1. ไปที่เว็บไซต์ที่ให้บริการดาวน์โหลด 2. พิมพ์ชื่อโปรแกรมที่ต้องการค้นหาในช่อง และคลิกเม้าส์ปุ่ม Go

การเก็บเว็บเพ็จทั้งหมด
หากเราต้องการเก็บเว็บเพ็จทั้งหมดไว้ในเครื่องของเรา ตั้งแต่เนื้อหาที่เป็นตัวอักษร รูปภาพและเสียง การบันทึกเว็บเพ็จในโปรแกรม Microsoft FrontPage 2003 สามารถทำได้ดังนี้ 1. คลิกเมนู File > Save / Save As



2. คลิกช่อง File name กำหนดชื่อให้เว็บเพ็จ (ต้องเป็นภาษาอังกฤษหรือตัวเลขเท่านั้น)



3. คลิกช่อง Change Title เพื่อกำหนดชื่อหัวเรื่องให้เว็บเพ็จ

4. คลิก Save หลังจากที่เราได้บันทึกเว็บเพ็จไว้แล้ว เราสามารถเปิดดูเนื้อหาเว็บเพ็จที่เก็บไว้ใน Explorerได้ด้วยคำสั่ง File > Open
การบันทึกไฟล์ภาพ
ถ้าเราพบรูปภาพใดในเว็บเพจที่ชอบก็สามารถเก็บภาพนั้นในเครื่องเราได้
เก็บภาพประทับใจไว้เป็นฉากหลังของ Windows นอกจากการโหลดภาพมาเก็บไว้ในเครื่องเราสามารถนำภาพที่ชอบมาไว้เป็นฉากหลังของ Windows ได้ โดยเลื่อนตัวชี้เม้าส์ไปอยู่เหนือรูปที่ต้องการแล้วคลิกเม้าส์ขวาเลือก Set as Background
การบันทึกไฟล์เสียง
เว็บไซต์หลายแห่งมีไฟล์เสียงแบบ .WAV ที่เราโหลดมาฟังได้ หากเราต้องการเก็บไฟล์เสียงนั้นในเครื่องของเราให้คลิกเม้าส์ขวาที่ Link สำหรับเล่นไฟล์เสียงนั้น เลือกคำสั่งSave target As กำหนดชื่อไฟล์เสียงและคลิกเม้าส์ปุ่ม OK
ตัวอย่าง เป็นการเก็บไฟล์เสียงตัวอย่างจากเพลงการ์ตูนเรื่อง The Beauty and the Beast ที่เว็บไซต์
http://www.disney.go.com/disneyrecords/soundtracds/Beauty_and_the_Beast/index.ht

















หน่วยที่ 10 ปัญหาและข้อควรระวังในการใช้อินเทอร์เน็ต





จุดประสงค์การเรียนรู้


1. นักเรียนสามารถอธิบายข้อควรปฏิบัติในการใช้งานอินเทอร์เน็ตและสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตร่วมกับ ผู้อื่นได้
2. นักเรียนสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับปัญหาในการใช้งานอินเทอร์เน็ต์ได้อย่างถูกต้อง
3•สามารถป้องกันเครื่องคอมพิวเตอร์ จากไวรัสได้
4. นักเรียนสามารถอธิบายขั้นตอนในการรักษาความปลอดภัยในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้


การใช้เครือข่าย อินเทอร์เน็ตร่วมกับบุคคลอื่น


ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันสูงมาก จนทำให้วิถีการทำงาน และการดำเนินชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไป จนทำให้คนจำนวนไม่น้อยใช้เวลาในโลกของการออนไลน์ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต พอ ๆ กับที่ใช้เวลาทำสิ่งต่าง ๆ บนโลกจริง


มารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต เรียกว่าบัญญัติ 10 ประการของการใช้อินเทอร์เน็ตได้ โดยอาจารย์ยืน ภู่วรวรรณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร

ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมที่เกิดจากการกระทำของท่าน
ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกา และมีมารยาท

ปัญหาและข้อควรระวังในการใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

ข้อควรระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ตในสังคมอินเทอร์เน็ตนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดีเช่นเดียวกับสังคมทั่วไปผู้ที่ไม่ระมัดระวังจึงอาจถูกล่อลวงไปในทางที่ผิดหรือก่อให้เกิดอันตรายได้
1. ไม่บอกข้อมูลส่วนตัวให้แก่บุคคลอื่นที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ต 2. หากพบข้อความหรือรูปภาพใดๆบนอินเทอร์เน็ตที่มีลักทราบษณะไม่เหมาะสมควรแจ้งให้ผู้ปกครองทันที 3. ไม่ควรไปพบบุคคลใดก็ตามที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองก่อน 4. ไม่ส่งรูปหรือสิ่งใดๆ ให้บุคคลที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองก่อน 5. ไม่ตอบคำถามกับผู้ที่สื่อข้อความหยาบคาย 6. ควรคารพต่อข้อตกลงในการใช้อินเทอร์เน็ตที่ให้กับผู้ปกครอง

ในด้านข้อเสีย แพทย์พบว่าการเล่นเกมติดต่อกันครั้งละนานๆ มีผลเสียต่อสุขภาพปัญหาที่พบบ่อยคือ อาการล้าของสายตากล้ามเนื้อที่แขน คอ ไหล่ และหลัง นอกจากนี้ยังพบอาการ ลมชัก ปวดศีรษะ ประสาทหลอน บางรายมีอาการรุนแรงเข้าขั้นประสาทและกล้ามเนื้อบางส่วนเสื่อมสภาพไปและเชื่อกันว่าการติดเกมเป็นสาเหตุทางอ้อมของโรคอ้วน เด็กบางคนที่หมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมมากเกินไป จนไม่สนใจเพื่อนๆ และสังคมรอบข้าง ในที่สุดจะกลายเป็นคนขี้อายและตัดขาดจากสังคม

การป้องกันเครื่องคอมพิวเตอร์จากไวรัส
ไวรัส (Viruses) คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาให้แพร่กระจายตัวเองจากไฟล์หนึ่งไปยังไฟล์อื่นๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ไวรัสจะแพร่กระจายตัวเองอย่างรวดเร็วไปยังทุกไฟล์ภายในคอมพิวเตอร์
โดยทั่วไปเกิดจากการที่ผู้ใช้เป็นพาหะ นำไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง เช่นเวลาที่ส่ง e-Mail โดยแนบเอกสาร หรือไฟล์ที่มีไวรัสไปด้วย, การทำสำเนาไฟล์ที่ติดไวรัสไปไว้บนไฟล์เซริฟเวอร์
แม้ว่าจะมีไวรัสหลายพันชนิด แต่ไวรัสส่วนใหญ่อยู่ในห้องทดลองคอมพิวเตอร์ มีไวรัสเพียงประมาณ 500 กว่าชนิดที่ยังอาละวาดอยู่ และส่วนใหญ่ไวรัสเหล่านี้แทบจะไม่มีอันตรายต่อคอมพิวเตอร์และข้อมูล เพียงแต่อาจจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงด้วยการแย่งใช้หน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามมีวิธีง่ายๆที่จะช่วยป้องกันเครื่องคอมพิวเตอร์และข้อมูลจากไวรัส

1.ใช้โปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัส (anti-virus) อย่างไรก็ตามไม่มีโปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัส โปรแกรมใดสมบูรณ์แบบการเตือนที่ผิดพลาดว่ามีไวรัสก่อให้เกิดความรำคาญพอๆกับตัวไวรัสเองอย่าลืมว่าจะต้อง update โปรแกรมที่ใช้ตรวจจับและกำจัดไวรัสอย่างสม่ำเสมอ
2.scan ทุกไฟล์บนดิสก์และ CD-ROM ก่อน นำลง hard disk
3.scan ทุกไฟล์ที่ download มาจาก internet
4.scan ไฟล์หรือโปรแกรมที่ติดมากับ e-mail ก่อนที่จะเปิดอ่านหรือเก็บลงบน hard disk

5.เก็บเอกสารในรูปของ ASCII Text Mode หรือ Rich Text Format (RTF) โดยเฉพาะเอกสารที่ใช้ ร่วมกันบน network ทั้งสอง format จะไม่ save ส่วนที่เป็น macro ลงพร้อมกับเอกสารด้วยซึ่งทำให้ปลอดภัยจาก macro viruses
6.back up ข้อมูลและโปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอและที่สำคัญอย่าเก็บ back up ไว้ใน hard disk
7.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
8.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
9.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
10.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
11.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วง ๆ
12.เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วใน บีบีเอส
13.เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสขึ้นมาทำงานได้ เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

การรักษาความปลอดภัยในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ควรมีการตรวจจับไวรัสในข้อมูลหรือโปรแกรมทุกๆ อย่างที่นำมาจากอินเทอร์เน็ตโดยติดตั้งโปรแกรม
ตรวจจับไวรัสที่เครื่องคอมพิวเตอร์

ข้อแนะนำเบื้องต้นในการใช้คอมพิวเตอร์ และเครือข่ายอย่างปลอดภัยมีดังนี้ - เมื่อเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ควรปรึกษาผู้ใหญ่เกี่ยวกับแนวทางในการ ใช้ในการใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันและเมื่อผู้ใช้มีความรู้ และคุ้นเคยในการใช้งานจริงบ้าง แล้ว จึงค่อยปรับเปลี่ยนแนวทางในใช้เวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตให้เหมาะสมต่อไป และ ควรเขียนแนวทางในการใช้อินเทอร์เน็ตติดไว้ใกล้กับ
คอมพิวเตอร์ เพื่อความสะดวก
การจัดระบบการใช้อินเทอร์เน็ต
-
อย่าให้รหัสลับแก่ผู้อื่น
-
ปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนทุกครั้งที่จะทำการลงทะเบียนใด ๆ บนอินเทอร์เน็ต
-
ไม่ควรให้ข้อมูลใด ๆ กับผู้ที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับระบบรักษา ความปลอดภัย สำหรับนิสิตผู้ใช้
-
ไม่ควรให้ข้อมูล ชื่อ ที่อยู่หมายเลขโทรศัพท์กับบุคคล ที่ไม่เคยรู้จักตัว
-
ไม่ควรดาวน์โหลดโปรแกรมจากแหล่งข้อมูลที่ไม่รู้จัก หรือถ้าได้รับโปรแกรม ที่ส่งมาให้ทดลองจากคนไม่รู้จัก ไม่ควรที่จะเรียก รันบนเครื่องคอมพิวเตอร
-
ไม่เปิดเครื่องที่ login ค้างไว้ โดยที่ตัวเองไม่อยู่ที่โต๊ะทำงาน
-
ควรมีการสแกนไวรัสอย่างสม่ำเสมอ
-
ทำสำเนาข้อมูลไว้อย่างสม่ำเสมอ

อย่าเปิดเอกสารหรืออีเมลล์หรือไฟล์ จากบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก เพราะอาจมีไวรัส หรือข้อมูลไม่เหมาะสม

มากับเอกสารหรืออีเมลล์